ทั่วโลกกำลังเผชิญกับคลื่นลูกใหม่ของ “วิกฤตหนี้” ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ หลังจากหลายปีของการใช้จ่ายและการกู้ยืมเพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 แต่วันนี้ เมื่อดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อยังไม่ลดลง และรายได้ของหลายประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาระหนี้กำลังกลับมาเป็นเงาที่ถ่วงการเติบโตของทั้งโลก
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของรัฐบาล แต่ลามไปถึงภาคธุรกิจ นักลงทุน และประชาชนที่ต้องอยู่กับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นกว่าที่เคย

โลกกำลังเผชิญ “ภูเขาหนี้” ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ข้อมูลจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศระบุว่า หนี้รวมทั่วโลกพุ่งทะลุเกิน 300 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมโลก (GDP) หลายเท่า ประเทศใหญ่ที่มีระบบเศรษฐกิจแข็งแรงอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือจีน ต่างมีหนี้ภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นในระดับที่น่ากังวล ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งเริ่มเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้
ในอดีต วิกฤตหนี้มักเกิดเฉพาะในประเทศเล็กหรือเศรษฐกิจเกิดใหม่ แต่วันนี้ หนี้ได้กลายเป็น “โรคเรื้อรังของระบบเศรษฐกิจโลก” ที่ทุกประเทศต้องเจอ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน
ต้นเหตุของหนี้สะสมมาจากยุคเงินถูก
ย้อนกลับไปในช่วงที่โลกเผชิญโควิด-19 รัฐบาลทั่วโลกต่างอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านนโยบายการคลังและการเงินแบบขยายตัว เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ล่ม ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ ทำให้การกู้ยืมเงินง่ายและต้นทุนต่ำ ธุรกิจขยายตัว ผู้คนใช้จ่ายมากขึ้น รัฐบาลก็กู้เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่เมื่อโลกเริ่มฟื้น เงินเฟ้อกลับพุ่งสูงขึ้นจากทั้งต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบ และห่วงโซ่อุปทานที่สะดุด ธนาคารกลางจึงต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และนี่เองที่ทำให้ “เงินกู้ราคาถูกในอดีต” กลายเป็น “ภาระหนี้ราคาแพงในวันนี้”
ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นคือระเบิดเวลาทางการเงิน
เมื่อดอกเบี้ยสูง ต้นทุนในการชำระหนี้ก็สูงตาม รัฐบาลที่เคยกู้เงินจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ต้องใช้เงินภาษีมากขึ้นในการจ่ายดอกเบี้ย บริษัทที่เคยกู้เพื่อขยายกิจการต้องเจอกับต้นทุนทางการเงินที่บานปลาย และผู้บริโภคเองก็เริ่มชะลอการใช้จ่ายเพราะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น
สิ่งนี้กลายเป็นวงจรที่อันตราย เพราะเมื่อทุกภาคส่วนต้องใช้เงินไปกับการชำระหนี้แทนที่จะลงทุนหรือบริโภค เศรษฐกิจโดยรวมก็จะชะลอตัวลงเรื่อย ๆ
สัญญาณเตือนที่เริ่มชัดขึ้นทั่วโลก
- รัฐบาลหลายประเทศเริ่มขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาที่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศ
- บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กปิดกิจการเพิ่มขึ้น เพราะไม่สามารถรับภาระดอกเบี้ยที่พุ่งสูงได้
- ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลว่าบางประเทศหรือบริษัทอาจผิดนัดชำระหนี้
- ประชาชนกังวลต่อภาระหนี้ครัวเรือน ซึ่งสูงขึ้นจากการใช้จ่ายในช่วงโควิดและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนของโลกที่เริ่มเข้าสู่ “ภาวะชำระหนี้ยาก” และอาจกลายเป็นวิกฤตรอบใหม่ หากไม่มีการปรับโครงสร้างอย่างเป็นระบบ

ธุรกิจควรปรับตัวยังไงในยุคแห่งหนี้และดอกเบี้ยสูง
ธุรกิจที่อยู่รอดในยุคนี้ ไม่ใช่ผู้ที่ขยายเร็วที่สุด แต่คือผู้ที่บริหารสภาพคล่องได้ดีที่สุด สิ่งที่ควรทำมีหลายอย่าง แต่หลัก ๆ คือ “ระวังการใช้หนี้ใหม่ และบริหารหนี้เก่าให้มีประสิทธิภาพ”
- ตรวจสอบโครงสร้างหนี้ทั้งหมดของบริษัท ว่าส่วนไหนเป็นหนี้ระยะสั้นที่ต้องรีไฟแนนซ์บ่อย และส่วนไหนเป็นหนี้ระยะยาวที่ควรต่อรองอัตราดอกเบี้ยใหม่
- ชะลอการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมาก แล้วหันมาโฟกัสธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดจริง เช่น บริการที่ลูกค้าจ่ายทันที หรือการผลิตที่หมุนเงินได้เร็ว
- เจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อขอลดดอกเบี้ยหรือยืดระยะเวลาการชำระ โดยอ้างอิงแผนฟื้นฟูธุรกิจที่ชัดเจน
- เสริมสภาพคล่องระยะสั้น ด้วยการบริหารสต็อกให้เล็กลง ปรับเงื่อนไขเครดิตการค้า และเร่งเก็บเงินจากลูกค้า
ในช่วงดอกเบี้ยสูง การรักษาเงินสดไว้ในมือคือการป้องกันที่ดีที่สุด
นักลงทุนควรมองโลกแบบ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น
สำหรับนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่ต้องมี “วินัยและความเข้าใจ” มากกว่าความกล้า ตลาดการเงินทั่วโลกจะเต็มไปด้วยความผันผวน เพราะข่าวเรื่องหนี้และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจะออกมาเรื่อย ๆ
สิ่งที่ควรทำคือ
- กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ไม่พึ่งพาตลาดเดียว
- ลดการใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเพื่อลงทุน เพราะต้นทุนดอกเบี้ยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
- ให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีรายได้ต่อเนื่อง เช่น หุ้นปันผล หรือพันธบัตรระยะกลางที่มีเครดิตดี
- ติดตามทิศทางนโยบายของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เพราะนั่นคือสัญญาณสำคัญของตลาดการเงิน
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเข้าใจว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง “ปรับฐานของหนี้” ซึ่งอาจกินเวลาหลายปี ไม่ใช่เรื่องที่จะจบในเวลาไม่กี่เดือน
วิกฤตหนี้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเปลี่ยนของระบบเศรษฐกิจ
ตลอดประวัติศาสตร์ โลกเคยผ่านวิกฤตหนี้มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งก็กลายเป็นโอกาสในการสร้างระบบใหม่ หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ไทยเรียนรู้การบริหารหนี้ระหว่างประเทศอย่างระมัดระวัง หลังวิกฤตซับไพรม์ สหรัฐฯ ได้ปรับกฎควบคุมสถาบันการเงินให้เข้มงวดขึ้น และหลังวิกฤตโควิด โลกอาจหันมาเน้น “เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและไม่พึ่งพาหนี้เกินตัว”
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงความกลัว แต่คือโอกาสในการสร้างวัฒนธรรมทางการเงินใหม่ ที่เน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
วิกฤตหนี้ทั่วโลกกำลังคืบคลาน และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน แต่สิ่งที่เราทำได้คือ “เตรียมพร้อมก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน” ธุรกิจต้องบริหารสภาพคล่องอย่างรอบคอบ นักลงทุนต้องกระจายความเสี่ยง และรัฐบาลต้องสร้างระบบเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาหนี้ระยะสั้นมากเกินไป
เพราะในโลกที่หนี้ท่วมและดอกเบี้ยสูง ผู้ที่อยู่รอดไม่ใช่คนที่มีหนี้น้อยที่สุด แต่คือคนที่ “เข้าใจหนี้และบริหารมันได้ดีที่สุด”
